
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ระบุผลการประชุมหลักเกณฑ์การปิดบัญชีงวดวันที่ 30 ก.ย. 2557 เมื่อวานนี้ (24 ก.พ.) ว่า หลังจากรอบก่อนได้ปิดบัญชีงวดวันที่ 22 พ.ค. 2557 ไปแล้ว โดยตัวเลขเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มโครงการปี 2547 มีผลขาดทุนออกมาประมาณ 700,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนของรัฐบาลที่แล้ว 4 โครงการจำนวน 536,908 ล้านบาท และอีก 163,000 ล้านบาท เป็นของ 11 โครงการเดิม โดยผลขาดทุนรอบ 30 ก.ย. 2557 เพิ่มขึ้นจากรอบ 22 พ.ค. 2557 ไม่มาก เนื่องจากช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือน และราคาข้าว ณ 30 ก.ย. 2557 สูงขึ้น ทำให้สินค้าคงเหลือปลายงวดสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งต้องนำไปหักต้นทุนสินค้า ทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง ส่งผลให้ผลขาดทุนเพิ่มขึ้นแค่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ข้าวในสต๊อกที่เหลือ 17.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีประมาณ 2.3 แสนล้านบาท โดยพบข้าวที่คุณภาพดีเพียง 2.9 ล้านตัน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากยังมีตัวเลขการระบายข้าวที่ออกมาแตกต่างกันอยู่ จึงให้ทางกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ไปตรวจสอบ ความแตกต่างของตัวเลขดังกล่าว แล้วแจ้งให้ทางคณะทำงานทราบภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งต้องรอการยืนยันตัวเลขระบายข้าวอีกครั้ง หากไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ จะยืนยันตัวเลขที่ประกาศไปเบื้องต้นนี้ แล้วรายงานให้กระทรวงพาณิชย์ และนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ส่วนการปิดบัญชีรอบต่อไป ต้องหลังสิ้น ก.ย. 2558 ไปแล้ว
ทั้งนี้ การปิดบัญชีรอบนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคิดค่าเสื่อมราคาของสินค้าคง เหลือ จากเดิมที่ข้าวคงเหลือ 1 ปี จะคิดค่าเสื่อม 10%, 2 ปีคิด 20%, 3 ปีคิด 30% และ 4 ปีคิด 40% เนื่องจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่มี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้คัดเกรดข้าวออกเป็น A, B และ C ซึ่งอนุกรรมการปิดบัญชีมีความเห็นตรงกันว่า จะใช้ราคาที่ปรับลดตามชนิดข้าว และอายุ จะทำให้การปิดบัญชีได้ละเอียดยิ่งขึ้น
ส่วนการดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ยืนยัน จะยึดตามตัวเลขความเสียหายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นหลัก.
ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/483492